จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ต้น |
จำนวน (ต้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ต้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | ไม้เลื้อย |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
กรรณิการ์ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในตอนกลางของประเทศอินเดีย เข้าใจว่าเข้ามาในไทยในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือในสมัยตอนต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ และมีการสันนิษฐานว่าชื่อ “กรรณิการ์” นั้นมาจากคำว่า “กรรณิกา” ซึ่งมีความหมายว่า ช่อฟ้า กลีบบัว ดอกไม้ ตุ้มหู และ เครื่องประดับหู ซึ่งหากสังเกตจากรูปทรงของดอกกรรณิการ์แล้วก็จะเห็นว่าเหมาะจะใช้เป็นเครื่องประดับหูได้ดี เพราะมีหลอดที่ใช้สอดในรูที่เจาะใส่ต้มหูได้นั่นเอง โดยจัดเป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ ต้นเป็นรูปทรงพีระมิดแคบ มีความสูงของต้นประมาณ 3-5 เมตร เปลือกของลำต้นมีลักษณะขรุขระ และ เป็นสีน้ำตาล กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยมสี่เหลี่ยม และมีขนแข็งสากมือ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง หรือการปักชำกิ่งเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดี มีความชื้นปานกลาง แสงแดดแบบเต็มวันและครึ่งวัน หากปลูกในที่แห้งแล้งจะออกดอกน้อย โดยจะออกดอกในช่วงประมาณเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน แต่สามารถออกดอกได้ตลอดปีหากมีฝน หรือได้รับการตัดแต่งและมีการให้น้ำอย่างเหมาะสม กรรณิการ์เป็นไม้ที่มีกลิ่นหอมแรง โดยจะบานตอนกลางคืน ออกดอกตลอดปี นอกจากจะเป็นไม้ที่หอมแล้ว กรรณิการ์ยังเป็นสมุนไพรอีกด้วย และฐานรองดอกก็สามารถนำมาทำสีย้อมผ้า และ สีทำขนมได้ด้วย ชื่อวิทยาศาสตร์ Nyctanthes Arbortristis Linn. วงศ์ OLEACEAE ชื่อสามัญ Night Blooming Jasmine (มะลิบานราตรี), Night Flower Jasmine, Coral Jasmine ชื่ออื่นๆ กณิการ์, กรณิการ์ ถิ่นกำเนิด อินเดีย ลังกา พม่า ไทย ประเภท ไม้พุ่มยืนต้นขนาดกลาง เมื่อโตเต็มที่มีความสูงประมาณ 3-4 เมตร แต่ถ้าปล่อยให้สูงไปเรื่อยๆ โดยไม่ตัดกิ่งออกบ้าง ตันไม้จะขึ้นโอนเอนไปมาไม่เป็นระเบียบ แถมจะเก็บดอกไม่ถึง อยู่สูงเกินไป ลักษณะทั่วไป ต้น สูงประมาณ 2 - 4 เมตร ตามลำต้นจะมีรอยเป็นเส้นคาดรอยต้นเป็นช่วงๆ ไปตามข้อต้น เปลือกของลำต้นนั้นมีสีขาว ลักษณะของลำต้นและกิ่งก้านโดยเฉพาะส่วนที่เป็นแขนงและกิ่งอ่อนจะเป็นสี่เหลี่ยม บริเวณแนวสันเหลี่ยมของกิ่งหรือลำต้นมีตุ่มเล็กๆ ประเป็นแนวอยู่ด้วย ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยวแต่ออกเป็นคู่ๆ สลับกันไปตามข้อของต้น มีรูปมนรี ปลายใบแหลม สีเขียวและมีขนอ่อนเป็นละอองปกคลุมอยู่ทั่วใบ ลักษณะสากคายมือ ดอก ดอกสีขาว ออกเป็นช่อดอกเล็กๆ กระจายที่ปลายกิ่ง ประมาณช่อละ 5 - 8 ดอก ดอกมี 6 กลีบ กลีบดอกจะบิดเวียนไปทางขวาคล้ายกังหัน วงในดอกเป็นสีแสด หลอดดอกเป็นสีแสด เกสรเป็นเส้นเล็กละเอียดซ้อนอยู่ในหลอดดอก ขนาดของดอกบานเต็มที่ประมาณ 1.50 - 2 ซ.ม. หลอดดอกยาว 1.50 ซ.ม. ปลายแยกเป็น 5 - 8 แฉก ก้านช่อดอกมีใบประดับเล็กๆ 1 คู่ ดอกของกรรณิการ์มีกลิ่นหอมแรง บานกลางคืน พอรุ่งเช้าก็โรยราร่วงหล่นหมด และก็ตูมขึ้นมาใหม่อีกจนกว่าดอกจะหมดในทุกๆ กรวย ออกดอกตลอดปี และจะออกมากในช่วงย่างเข้าหน้าหนาว ประมาณเดือนพฤศจิกายน-ต้นมกราคม ผล เป็นแผ่นแบนๆ ภายในมีเมล็ด 2 เมล็ด การขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่งหรือปักชำกิ่ง - การปลูกกรรณิการ์ ควรปลูกกลางแจ้ง (ใบจะเล็ก ใบจะสีเขียวอมเหลือง) หรือแดดครึ่งวันเช้าก็ได้ (ใบจะใหญ่ ใบจะสีเขียวเข้ม) แตกกิ่งก้านมากมายไม่เป็นระเบียบ จนดูเหมือนปะการัง จนมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “Coral Jasmine” - หากต้องการให้กรรณิการ์ออกดอกดกๆ จึงควรหมั่นตัดแต่งกิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เกะกะทิ้งไป และ ตัดแต่งกิ่งให้เป็นทรงพุ่มสวยงามอยู่เสมอ จะทำให้แตกยอดใหม่ได้มากขึ้น นั่นหมายถึงจะมีช่อดอกได้มากขึ้น (เพราะดอกกรรณิการ์จะออกดอกที่ปลายยอด) และออกดอกได้รอบทรงพุ่ม ดูสวยงามยิ่งขึ้นนั่นเอง การดูแลรักษา ขึ้นได้ในดินทั่วไป แต่ต้องการความชุ่มชื้น และปลูกที่กลางแจ้ง - ต้นกรรณิการ์เป็นไม้ชอบแดด ออกดอกไม่หวาดไม่ไหว ดอกร่วงเร็วมาก แต่ถ้าอยากจะเก็บดอกให้ทัน ให้เก็บในตอนกลางคืน หรือก่อนเวลา 6 โมงเช้า - กรณีต้องการดอกที่ไม่ช้ำ เวลาเก็บต้องใช้ปลายนิ้วค่อยๆ จับตรงก้านสีส้มแล้วค่อยๆ ดึงออกมา อย่าถูกกลีบใบ เพราะกลีบใบอ่อนนุ่มมากแถมช้ำเร็ว ถ้าเก็บหลังเวลา 6 โมงเช้า ดอกเริ่มร่วงแล้ว แต่ถ้าต้องการเก็บดอกแบบเร็ว ไม่สนใจความช้ำ เพราะอาจจะต้องการใช้แต่ก้านเพียงอย่างเดียว ให้ใช้มือเขย่าที่กิ่ง ดอกจะร่วงหล่นลงมา ถ้าปลูกที่แสงแดดรำไร จะไม่ออกดอกและไม่ค่อยโต ไม่เหมาะปลูกในกระถางเพราะเป็นไม้ต้นขนาดกลาง อย่าปลูกตรงบริเวณสนามหญ้า เพราะเวลาดอกร่วงหล่นลงพื้นสนามหญ้า ดอกเหี่ยวเฉาเร็ว จะเก็บดอกที่ร่วงออกจากสนามหญ้าลำบากมาก - เวลารดน้ำให้รดที่โคนต้นก็เพียงพอแล้ว ถ้ารดทั้งต้น ดอกกรรณิการ์จะช้ำและร่วง เน่าเร็วกว่าเดิมอีก นอกเหนือจากการรดน้ำธรรมดา ยังมีวิตามินสำหรับต้นกรรณิการ์ ขอแนะนำสูตรประหยัดไม่เปลืองน้ำ โดยใช้น้ำที่ล้างกระป๋องนมข้นหรือน้ำล้างกล่องนมสดแท้ 100% หรือน้ำชาที่เหลือใช้ในประจำวันผสมน้ำ รดตรงโคนต้นแล้วแต่สะดวก เป็นวิตามินที่มีประโยชน์ได้อย่างดี ข้อดีของพันธุ์ไม้ 1.ออกดอกให้ชมได้บ่อย 2.ดอกใน 1 ช่อจะทยอยบาน จึงทำให้ได้ชมดอกหลายวัน 3.ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน สรรพคุณ ต้น ต้นมีสรรพคุณแก้ปวดศีรษะ แก้ไข้เช่นกัน แพทย์ชนบทในสมัยก่อนจะใช้ต้น และ รากกรรณิการ์ นำมาต้ม หรือ ฝนรับประทานเป็นยาแก้อาการไอสำหรับสตรี หลังคลอดบุตรใหม่ ๆ ต้น และ ใบ ใช้เป็นยาแก้อาการปวดตามข้อ เปลือก เปลือกชั้นในมีสารฝาดสมาน นำไปต้มน้ำดื่มเป็นยาแก้วิงเวียนศีรษะ ต้นมีรสหวานเย็นฝาดใช้เป็นยาแก้ไข้ ส่วนใบและดอกก็มีสรรพคุณแก้ไข้เช่นกัน ใบ ใบมีรสขม ช่วยทำให้เจริญอาหาร ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 1 กำมือ เติมน้ำคั้นลงไปแล้วคั้นเอาแต่น้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใช้แบ่งรับประทาน 4 ครั้ง ถ้ากินมากจะมีฤทธิ์เป็นยาระบาย ใบใช้เป็นยาแก้ตานขโมย แก้เส้นผมหงอก ด้วยการใช้ใบนำไปแช่กับน้ำมันมะพร้าว ประมาณ 1-2 คืน ก็จะได้น้ำมันที่มีสีเหลืองอ่อน ๆ สำหรับนำมาใช้ทาหมักผมก่อนนอน จะช่วยป้องกันไม่ให้ผมหงอกก่อนวัยได้ ใบช่วยแก้ไข้จับสั่น ชนิดจับวันเว้นวัน นำใบสด 1 กำมือไปตำ ใส่น้ำ 1 แก้ว แล้วคั้นเอาแต่น้ำ หรือ ผสมกับน้ำตาลมาดื่ม ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ใช้เป็นยาแก้อาการปวดท้อง ใบใช้เป็นยาระบาย ในอินเดียใช้ใบเป็นยาขับพยาธิ ใบใช้เป็นยาบำรุงน้ำดี ขับน้ำดี ดอก มีรสขม สรรพคุณช่วยแก้ลมวิงเวียน ดอกใช้เป็นยาแก้ไข้มิรู้สติสมปฤดี เป็นไข้บาดทะจิต แก้ไข้ผอมเหลือง ใช้เป็นยาแก้ตาแดง ในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ใช้ดอกเป็นยาขับประจำเดือน ใช้เป็นยาแก้พิษทั้งปวง มีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ ใช้เป็นยาแก้โลหิตตีขึ้น นำมาใช้แก้ไข้ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการกลั่นด้วยไอน้ำไปใช้ทำน้ำหอม ก้านดอก เมื่อคั้นเอาน้ำกรองแล้วจะได้สารสีเหลืองชื่อ Nyctanthin ใช้เป็นสีทำขนมและสีย้อมผ้าได้ดี ราก ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง แก้ผมหงอก บำรุงผิวหนังให้สดชื่น รากมีรสขมฝาด ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ รากใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ใช้เป็นยาแก้อาการอ่อนเพลีย รากมีสรรพคุณช่วยแก้อาการไอ ใช้เป็นยาแก้อุจจาระเป็นพรรดึก ใช้เป็นยาแก้อาการท้องผูก ช่วยบำรุงเส้นผม ส่วนข้อมูลจากหนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย ระบุว่าส่วนที่นำมาใช้เป็นยาแก้ผมหงอกคือส่วนของราก (ราก) ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกรรณิการ์ มีการศึกษาฤทธิ์ของสารกสัดแอลกอฮอล์จากใบ ผล และเมล็ดกรรณิการ์เพื่อยับยั้งโรคไขข้อเสื่อมในหนูทดลองที่ถูกทำให้ติดเชื้อวัณโรคจนเกิดอาการไขข้อเสื่อม แล้วได้ทำการให้สารสกัดจากกรรณิการ์กับหนูทดลองทางช่องปาก 25 มก./กก. เป็นเวลา 47 วัน ผลการทดลองพบว่า สารสกัดดังกล่าวสามารถช่วยยับยั้งการเกิดไขข้อเสื่อมได้ โดยจะช่วยลดปริมาณการตายของเซลล์ที่เกิดการติดเชื้อได้ และยังมีงานวิจัยต่อเนื่องที่ระบุว่า เมื่อทำการให้สารสกัดคลอโรฟอร์มจาก ดอก และ ใบกรรณิการ์ ความเข้มข้น 50, 100, 200 มก./กก. เป็นระยะเวลา 27 วัน กับหนูทดลองที่ถูกกระตุ้นให้เป็นโรคเบาหวานด้วยสาร Streptozocin พบว่า สารสกัดจากดอก และ ใบมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดระดับ Alk Phos, LPO, SGPT, คอเลสเตอรอล, และไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของไขมันอุดตันได้อีกด้วย ************************************************ หมายเหตุ : P.S. Green ผู้ศึกษาวงศ์ Oleaceae สำหรับพรรณพฤกษชาติของประเทศไทยให้สกุล Nyctanthes อยู่ภายใต้วงศ์ Nyctanthaceae และกล่าวว่าใกล้ชิดกับวงศ์ Verbenaceae มากกว่าวงศ์ Oleaceae และไม่ได้รวมไว้ในหนังสือพรรณพฤกษชาติแห่งประเทศไทยเล่มวงศ์ Oleaceae อย่างไรก็ดีข้อมูลด้านวิวัฒนาการในปัจจุบันจัดให้สกุล Nyctanthes อยู่ภายใต้วงศ์ Oleaceae วงศ์ย่อย Myxopyreae สกุลกรรณิการ์มีเพียง 2 ชนิด มีเขตการกระจายพันธุ์ที่อินเดีย สุมาตรา ชวา และไทย ในไทยพบทั้ง 2 ชนิด ชนิดที่ปลูกเป็นไม้ประดับคือ กรรณิการ์ Nyctanthes arbor–tristis L. (arbor-tristis เป็นภาษาลาตินแปลว่า sad tree) และอีกชนิดคือ Nyctanthes aculeata Craib ซึ่งพบเฉพาะในไทยเพียงครั้งเดียวจากตัวอย่าง Kerr no. 3066 เก็บจากริมฝั่งแม่น้ำปิง (Kew Bulletin: 1916: 265) ซึ่งอาจเกิดน้ำท่วมสูญพันธุ์ไปแล้วก็เป็นได้ อนึ่ง ต้นกรรณิการ์ในที่นี้ตรงกับต้นปาริชาติ (Parijat) ในวรรณคดีของอินเดีย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดู นอกจากนี้ต้นปาริชาติยังเป็นที่เข้าใจว่าเป็นไม้ในพุทธประวัติ แต่ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Erythrina variegata L. หรือทองหลางลาย ซึ่งไม่น่าจะใช่ เพราะทองหลางลายนี้มีถิ่นกำเนิดตามชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย อัฟริกา ไปจนถึงออสเตรเลีย ส่วนดอกกรรณิการ์ตามที่ปรากฏในวรรณคดีไทยหลายเรื่องมีดอกสีเหลืองสด เช่นไตรภูมิพระร่วงของพญาลิไท หนังสือเรื่องนางนพมาศ มหาชาติคำหลวง กัณฑ์มหาพน ปฐมสมโพธิกถาของพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กาพย์ห่อนิราศธารโศก และพระมาลัยคำหลวงของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ เข้าใจว่าเป็นต้นสุพรรณิการ์ Cochlospermum religiosum (L.) Alston ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาต่างๆ ในอินเดียตามชื่อชนิด “Religiosum” และชาวอินเดียให้ความเคารพอย่างสูง มักปลูกตามวิหารของพระผู้เป็นเจ้า ชื่อสุพรรณิการ์ มาจากภาษาบาลี “เสผาลิกา” แปลว่าต้นไม้มีดอกหอม ส่วนกรรณิการ์มาจากภาษาบาลีเช่นกันแต่แปลว่า ช่อดอกไม้ ------------------------------ ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก - - maidokmaipradab.blogspot.com - - สวนพฤษศาสตร์ โรงเรียนนาจะหลวย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |